วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

แนวโน้มจูงใจของนักท่องเที่ยว10ประการ

แนวโน้มจูงใจของนักท่องเที่ยว10ประการ

1. แรงจูงใจจะได้สัมผัสกับสิ่งแวดล้อม ได้แก่ มรดกโลก แบ่งเป้น น้ำเงิน (ทะเล) สิ่งแวดล้อมสีเขียว (น้ำตก,ป่าเขา)


2. แรงจูงใจที่จะได้พบปะกับคนในท้องถิ่น (Bag Packer)


3. แรงจูงใจที่จะเข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่นและประเทศเจ้าบ้าน


4. แรงจูงใจที่จะเสริมสร้างสัมพันธภาพภายในครอบครัว


5. แรงจูงใจที่จะได้พักผ่อนในสภาพแวดล้อมที่น่าสบาย


6. แรงจูงใจจะได้ทำกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวสนใจและฝึกทักษะ


7. แรงจูงใจที่จะมีสุขภาพดี


8. แรงจุงใจที่จะได้รับการคุ้มกันและความปลอดภัย


9. แรงจูงใจที่จะได้รับการยอมรับนับถือและได้รับสถานภาพทางสังคม


10. แรงจูงใจที่จะให้รางวัลแก่ตัวเอง


วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วิวัฒนาการของการท่องเที่ยว

วิวัฒนาการของการท่องเที่ยว
อาณาจักร บาบิโลน ( Babylonian Kingdom) และ อาณาจักรอิยิปต์ ( Egyptian Kingdom)
การจัดตั้งพิพิธภัณฑ์โบราณวัตถุ ( Historic Antiquities) 2600 ปีมาแล้วในอาณาจักรบาบิโลน
มีการจัดงานเทศกาลทางด้านศาสนา
จักรวรรดิกรีกและจักรวรรดิโรมัน
ลักษณะการเดินทางเพื่อการท่องเที่ยวสมัยกรีก
เป็นการปกครองแบบนครรัฐ (City State) ทำให้ไม่มีผู้นำสั่งการให้สร้างถนน จึงนิยมเดินทางทางเรือ
สถานที่ที่เชื่อว่าเป็นที่สิงสถิตของเทพเจ้า
เดินทางเพื่อแสวงหาความรู้ เนื่องจากสมัยกรีกนี้มีนักปราชญ์เป็นจำนวนมาก อาทิ อริสโตเติล พลาโต โซเครติส
สมัยโรมัน
ได้รวบรวมจักรวรรดิกรีก เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร และได้นำเอาวัฒนธรรม ธรรมเนียม ความหรูหราต่างๆ ไปพัฒนาเป็นแบบโรมัน
-สมัยโรมันเป็นสมัยที่การท่องเที่ยวรุ่งเรืองที่สุดในยุคโบราณ จนมีนักวิชาการปัจจุบัน กล่าวว่า “ แม้ว่าชาวโรมันจะมิใช่ชาติแรกที่เดินทางไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ เพื่อความเพลิดเพลินก็ตาม แต่ชาวโรมันก็เป็นชนชาติแรกที่แท้จริงที่สร้างวัฒนธรรมการท่องเที่ยวระบบมวลชนเป็นครั้งแรก” (Mass Tourism)

สิ่งก่อสร้างที่มีความงดงามในยุคโบราณ หรือ เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ


1. สวนลอยบาบิโลน








Hanging Gardens of Babylon จัดเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ตั้งอยู่บนแม่น้ำยูเฟรติส ประเทศอิรักในปัจจุบัน สร้างโดยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่ 2 แห่งกรุงบาบิโลเนีย สร้างให้แก่มเหสีของพระองค์ สร้างขึ้นเมื่อ 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช สุงประมาณ 75 ฟุต กินพื้นที่ 400 ตารางฟุต ระเบียงทุกชั้นได้รับการตกแต่งด้วยไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้ยืนพุ่มชนิดต่างๆ มีระบบชลประทานชักน้ำจากแม่น้ำไปเลี้ยงต้นไม้ตลอดปี ปัจจุบันสวนนี้ได้พังทลายไปหมดแล้ว

2. มหาพีระมิดแห่งกีซา (The Great Pyramid of Giza)

ตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ ในประเทศอียิปต์ ห่างจากกรุงไคโรประมาณ 10 ไมล์ และทางตอนใต้ของมหาพีระมิด จะเห็น The Sphinx ตั้งตระหง่านอยู่มหาพีระมิดแห่งกีซา เป็นพีระมิดที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดของอียิปต์ มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า พีระมิดคูฟู ตามพระนามขององค์ฟาโรห์คูฟู (Khufu) ผู้ก่อสร้างมหาพีระมิด เมื่อประมาณ 2,600 ปีก่อนคริตส์กาล หรือกว่า 4,600 ปีมาแล้วนั่นเอง ฟาโรห์คูฟู เป็นฟาโรห์องค์ที่สอง ของราชวงค์ที่สี่ที่ปกครองอียิปต์ พระองค์มีอีกพระนามหนึ่งว่า "Cheops" การสร้างมหาพีระมิดของอียิปต์โบราณ เพื่อใช้เป็นที่เก็บรักษาพระศพ ไว้รอการกลับคืนพระชีพ ตามความเชื่อในยุคนั้น



3. เทวรูปเทพเจ้าซีอุส (Statue of Zeus)
ตามตำนานของกรีก เกี่ยวกับเทพเจ้า เทพเจ้าเซอุส เป็นเทพแห่งท้องฟ้าและสายฟ้า และเป็น The King of the gods ปกครอง Olympus มีชายาคือ Hera ท่านมีลูกหลายคนเทวรูปเทพเจ้าเซอุส สร้างโดยช่างแกะสลักชาวกรีก ชื่อ Pheidias เมื่อประมาณ 500 ปี ก่อนคริตส์กาล รูปปั้นมีความสูงถึง 40 ฟุต สร้างพร้อมวิหาร ซึ่งต่อมาถูกทำลายหมด จากทั้งไฟไหม้ น้ำท่วม และแผ่นดินไหว และในปี ค.ศ. 1954-1958 ก็มีการค้นพบ สถานที่ ซึ่ง Pheidias ใช้ในการสร้างเทวรูปเซอุส

4. เทวรูปเฮลีออส แห่งโรดส์ (Colossus of Rhodes)




หากยังคงมีอยู่ ก็จะเป็นเทวรูปที่สูงมาก ตั้งอยู่ที่อ่าวในทะเลเอเจียน (Aegean sea) ต่อกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ในประเทศกรีก เป็นรูปสำริดขนาดใหญ่ของเทพแห่งพระอาทิตย์ (Helios) สูงประมาณ 32 เมตร ใช้เวลาสร้างถึง 12 ปี แล้วเสร็จในช่วง 282 ก่อนคริตส์กาล แต่ก็ถูกทำลายเพราะแผ่นดินไหว หลังการสร้างเพียง 60 ปี ปัจจุบันก็ไม่เหลือซากให้เห็นอีกเหมือนกัน




5. ประภาคารฟาโรห์ แห่งอะเล็กซานเดรีย (Light House of Alexandria)






ที่เมืองอะเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ ก่อสร้างเมื่อประมาณ 280 ก่อนคริตส์กาล มีความสูง 134 เมตร เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงขึ้น 3 ครั้ง ทำให้ประภาคารถูกทำลาย ไม่หลงเหลือซาก เช่นเดียวกัน





6. ที่บรรจุศพแห่งมอสโซลอส ที่ฮาลิคาร์นัสซัส (Mausoleum at Halicarnassus)
ตั้งอยู่ที่เมือง Bodrum ริมทะเลเอเจียนในทางตะวันตกเฉียงใต้ของตุรกี ไม่ไกลมากนักกับวิหาร Artemis สร้างขึ้นโดยพระราชินีอาร์เทมิเซีย (Artemisia) เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแก่กษัตริย์มอโซลุส (Mausolus) ซึ่งสวรรคตเมื่อ 353 ปีก่อนคริตส์กาล และถูกทำลายเพราะแผ่นดินไหว เมื่อศตวรรษที่ 16

7. วิหารไดอานา หรือ อาร์เทมีส (Temple of Artemis)

ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของตุรกีในปัจจุบัน ดินแดนแห่งนี้ เมื่อสมัยโบราณถูกเรียกว่า Ephesus ตัววิหารสร้างประมาณ 500 ปี ก่อนคริตส์กาล โดยใช้เวลาก่อสร้างนาน 120 ปี เป็นวิหารที่สร้างขึ้นด้วยฝีมือของบรรดาสถาปัตย์ชื่อ Chersiphorn และบุตรชายของเขา Metagenes ซึ่งมีการสร้างรูปปั้นไว้ภายใน ด้วยสถาปัตย์หลายคน ทั้งนี้เพื่อเป็นที่ระลึกถึงอาร์เทมีส (Artemis) เทพีคู่แฝดของเทพ Apollo ซึ่งเชื่อว่าท่านมาจากสวรรค์ มากอบกู้ความหายนะของเมืองไว้ได้ถึง 2 ครั้ง เทพี Artemis เชื่อว่าอาจเกี่ยวข้องกับเทพี Diana ของชาวโรมันและอีตาเลียน ตัววิหารมีความยาว 150 เมตร กว้าง 50 เมตร ทำด้วยหินอ่อนทั้งหลัง ยกเว้นส่วนที่เป็นหลังคา ภายหลังถูกทำลายโดยพวก Goths


สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางและยุคฟื้นฟู
1. โคลอสเซียม (Colosseum)
สนามกีฬา กรุงโรม ประเทศอิตาลี สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิ Vespasian เมื่อปี ค.ศ. 72 หรือเกือบ 2,000 ปีมาแล้ว นับเป็นสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่สมกับสมัยอาณาจักรโรมันที่รุ่งเรือง เป็นอัฒจรรย์ที่บรรจุคนได้ถึง 50,000 คน เลยทีเดียว และมีช่องทางเข้าออกถึง 80 ทาง อัฒจรรย์เป็นรูปวงกลม ก่อด้วยอิฐและหินทราย วัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร โคลอสเซียม ก่อสร้างมาและใช้สำหรับการแข่ง gladiator ที่รู้จักกันดี ต่อมาก็ถูกใช้ประโยชน์เกี่ยวกับศาสนาคริตส์ นิการโรมันคาโธลิกบ้าง





2. สโตนเฮนจ์ (Stonehenge)
ในอังกฤษ เป็นกลุ่มแท่งหินขนาดใหญ่ จำนวน 112 ก้อน ตั้งอยู่กลางทุ่งราบซัลลิสเบอร์รี่ ทางตอนใต้ของประเทศอังกฤษ โดยลักษณะของการเรียงจะถูกวางซ้อนกัน 3 วง ดังรูป มีทั้งที่วางในแนวตั้ง แนวนอน และวางซ้อนกัน เชื่อกันว่า น่าจะมีอายุมานานกว่า 5,000 ปี จึงทำให้นักวิทยาศาสตร์ นักดาราศาสตร์ ต่างพากันสงสัยว่า ในสมัยนั้น จะสามารถเคลื่อนย้ายก้อนหินใหญ่ ๆ มาวางเรียงกันกลางทุ่งราบได้อย่างไร เพราะสถานที่ที่พบว่าน่าจะเป็นแหล่งที่มาของก้อนหินได้ คือบริเวณทุ่งมาล์โบโร นั้นก็อยู่ห่างออกไปถึง 40 กิโลเมตร





3. สุสานแห่งอเล็กซานเดรีย




มีชื่อเรียกว่า คาตาโกมบ์ ซึ่งไม่ปรากฏว่าสร้างเมื่อใด และใครเป็นผู้สร้าง ลักษณะของหลุมฝังศพไม่เหมือนกับปิรามิดคือจัดสร้างเป็นอุโมงค์ใต้ดิน ขุดลึกเข้าไปในภูเขาหินทราย ทำเป็นชั้นๆและมีช่องทางเดินวกเวียนไปมาเป็นระยะทางหลายไมล์ ภายในอุโมงค์บางตอนตกแต่งอย่างสวยงาม






4. สุเหร่าเซ็นท์โซเฟีย


เดิมจักรพรรดิคอนสแตนติน เป็นผู้สร้างขึ้นเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 13 เป็นโบสถ์ประกอบพิธีของคริสต์ศาสนา ใช้เวลาก่อสร้าง 17 ปี ต่อมาพระเจ้าโมฮัมเหม็ดที่ 2 ซึ่งนับถือศาสนาอิสลามได้ดัดแปลงโบสถ์นี้เป็นสุเหร่าอิสลาม แต่ได้คงรูปแบบเดิมไว้ และได้เพิ่มเติมศิลปะอิสลามเข้าไปทำให้กลายเป็นศิลปะคริสเตียน ผสมกับศิลปะอิสลามงดงามมาก สุเหร่าเซ็นโซเฟีย มีเนื้อที่ประมาณ 700 ตารางเมตร ภายในมีเสาค้ำสลักลวดลายประดับไว้อย่างงดงาม จำนวน 180 ต้น ชั้นล่างเป็นเสาขนาดใหญ่ 40 ต้น และชั้นบนเป็นขนาดเล็ก 68 ต้น หลังคาเป็นรูปโดมแบน มีหอล้อมรอบจำนวนมาก ปัจจุบันสุเหร่าเซ็นโซเฟีย
5. เจดีย์กระเบื้องเคลือบนานกิง เดิมมีเพียง 3 ชั้น ต่อมาประมาณ ค.ศ.1430 สมัยจักรพรรดิยุ่งโล้ แห่งราชวงศ์หมิง ได้รับสั่งให้สร้างเพิ่มขึ้นอีก 6 ชั้น มีสายโซ่โยงมา 8 เส้น ติดกระดิ่งแขวนตามโซ่อีก 72 ลูก ลักษณะของเจดีย์แห่งนี้จึงเป็นเจดีย์สูง 9 ชั้น แปดเหลี่ยม สูง 261 ฟุต หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียวทั้งหมด ชายคามีกระดิ่งแขวนไว้ 80 ลูก มีโคมไฟประดับอีกจำนวนมาก เจดีย์ก่อด้วยอิฐประดับกระเบื้องเคลือบ ยอดเจดีย์เป็นรูปกลมปิดทอง ต่อมาในปี ค.ศ.1853 กบฏไต้เผง ได้เข้าไปทำลายเจดีย์กระเบื้องเคลือบนี้ เครื่องบูชา และของมีค่าภายในเจดีย์ ถูกพวกกบฏไต้เผงกวาดไปหมด ปัจจุบันไม่งดงามเหมือนเก่า
6.หอเอนเมืองปีซ่า สร้างด้วยหินอ่อน สูง 181 ฟุต มี 8 ชั้นโดยเริ่มสร้างเมื่อ ค.ศ.1174 เสร็จเมื่อ ค.ศ.1350 ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 176 ปี สำหรับหอเอนปิซานี้ ภายในมีเสาหินอ่อนทีสลักลวดลายด้วยฝีมือจิตรกรชื่อดังแห่งยุคได้สลักลวดลายไว้สวยงามมาก ส่วนสาเหตุที่เอียงนั้นเกิดขึ้นหลังจากเมื่อสร้างเสร็จแล้ว ฐานได้ทรุดไปข้างหนึ่ง เมื่อวัดดูปรากฏว่าเอียงออกจากแนวดิ่งของฐานถึง 14 ฟุต แต่ก็ยังไม่ล้ม ยังคงเอียงอยู่เช่นทุกวันนี้ ณ ที่หอเอนปิซาแห่งนี้เป็นที่ที่กาลิเลโอ ขึ้นไปทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับแรงดึงดูดของโลก
7. กำแพงเมืองจีน เป็นกำแพงที่ใหญ่ที่สุดในโลก และยาวที่สุดในโลก สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชิ วั่ง ตี่ หรือจักรพรรดิจิ๋นซี ที่ยิ่งใหญ่ของจีน ได้คิดสร้างกำแพงนี้ เพื่อเป็นรั้วกั้นพรมแดนทางด้านเหนือของประเทศของจีน เพื่อป้องกันการรุกรานของพวกตาด พระองค์จึงได้เริ่มสร้างเมื่อ พ.ศ.300-329 โดยใช้แรงงานจากราษฎรนับล้านคน และมีคนล้มตายเป็นจำนวนมาก ลักษณะสำคัญของกำแพงเมืองจีน คือ เป็นกำแพงอิฐ ยาวประมาณ 1,500 ไมล์ ( 2,400 กิโลเมตร ) กำแพงหนา 15-25 ฟุต บนกำแพงมีทางเดินกว้าง 10 ฟุต ตัวกำแพงสูง 25-30 ฟุต บนกำแพงทุกๆ 30 ฟุตจะมีหอหรือป้อมตรวจการ 10-20 ฟุต ตลอดแนวกำแพงมีป้อมถึง 15,000 ป้อม มีระฆังแขวนบอกเหตุอีกประมาณ 20,000 กว่าหอ ปัจจุบันกำแพงเมืองจีนได้รับการปรับปรุงจากรัฐบาลจีน เพื่อเป็นสิ่งดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยว

สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 18-19
สังคมเริ่มเปลี่ยนจากเกษตรกรรมมีการพัฒนาประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำ กับเรือกลไฟแบบกังหันข้างผสมใบ ทำให้เกิดการเดินทางได้เร็วขึ้น
-มีการพัฒนากิจการรถไฟ และในปี ค.ศ. 1841 โทมัส คุก ( Thomas Cook) ได้จัดนำเที่ยวทางรถไฟแบบครบวงจรเป็นครั้งแรก ที่อังกฤษ ในขณะที่ เฮนรี เวลส์ ก็จัดกิจการนำเที่ยวขึ้นในอเมริกาเช่นกัน
มาเป็นอุตสาหกรรม เกิดการล่าอาณานิคมขึ้น
ยุคศตวรรษที่ 20
การท่องเที่ยวยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ความสะดวกสบายมีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง ที่พักแรม เงินตรา เอกสารการเดินทาง
ผู้คนหันมานิยมการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวมากขึ้น
1. นครวัด สร้างขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในรัชสมัย พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ซึ่งครองราชย์อยู่ในช่วง พ.ศ. 1650-1693 ซึ่งขณะนั้นศาสนาพราหมณ์ นิกายไวษณพนิกาย (นับถือ พระวิษณุเป็นใหญ่) กำลัง รุ่งเรืองอยู่ในอาณาจักรขอมพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 จึงโปรดให้สร้างนครวัด เพื่อบูชาพระวิษณุ และนอกจากนั้นแล้ว ก็เพื่อให้เป็นที่ เก็บพระศพของพระองค์ เมื่อยามสิ้นพระชนม์แล้วด้วย ดังนั้น นครวัด จึงแตกต่างกับปราสาทอื่นๆ ตรงที่หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นทิศของผู้ตาย แทนทิศตะวันออก ตามธรรมเนียมของขอม จะมีการตั้งพระนามใหม่ ถวายกับกษัตริย์ที่สิ้นพระชนม์แล้ว พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 นั้นมีพระนามหลังสิ้นพระชนม์ว่า "บรมวิษณุ" นครวัด จึงมีอีกชื่อว่า "บรมวิษณุมหาปราสาท"
2. สะพานโกลเดนเกต (อังกฤษ: Golden Gate Bridge) ทอดยาวข้ามอ่าวตอนเหนือของเมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกาสร้างในสมัยประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. โรสเวลต์ เมื่อปี ค.ศ. 1933 เสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1937 ตอนกลางสะพานยาว 1,280 เมตร กว้าง 27 เมตร สูงกว่าระดับน้ำทะเล 67 เมตร มีทางรถยนต์ 6 ทาง รถบรรทุก 3 ทาง รถไฟ 2 ทาง ใช้งบประมาณก่อสร้างราว 35 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
สะพานโกลเดนเกตกลายเป็นสถานที่ที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก เมื่อสร้างเสร็จใหม่ๆ สะพานกลายเป็นสัญลักษณ์ของสหรัฐอเมริกาไปโดยปริยาย ปัจจุบันนี้เองผู้คนทั่วโลกเองก็ยังคงรู้จักสะพานโกลเดนเกตและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของสหรัฐอเมริกา และจากผลการสำรวจสถานที่ที่น่าประทับใจของสถาบันสถาปนิกอเมริกัน พบว่าอยู่ในอันดับที่ 5 ของสถานที่ต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา
3. พระราชวังแวร์ซายส์ (Palace of Versailles)
ตั้งอยู่ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นพระราชวังที่สวยงามมากสร้างขึ้นโดย พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส มีนายช่างสถาปนิก อัลเดรด เลอ นอสเตอร์ เป็นผู้ออกแบบ ลงมือสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2204 (ค.ศ. 1661) สร้างอยู่นาน เวลา 30 ปี สิ้นเงินค่าสร้าง 500,000,000 ฟรังก์ ใช้คนงาน 30,000 คน ทุกส่วนทำด้วยหินอ่อนสีขาว เป็นแบบอย่างและศิลปกรรมก่อสร้างที่งดงามมาก
4. เขื่อนฮูเวอร์ (Hoover Dam) : เขื่อนยักษ์แห่งแรกของอเมริกา
เป็นเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กขนาดใหญ่แห่งแรกของประเทศสหรัฐอเมริกา สร้างขึ้นระหว่างปี พ.ศ. 2474-2479 ขวางกั้นแม่น้ำโคโลราโด บริเวณหุบเขาแบล็คแคนยอน สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการป้องกันอุทกภัยของพื้นที่ ใต้เขื่อนในช่วงฤดูหนาว และเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า

5. Taj Mahal (ทัชมาฮาล)เป็นอนุสาวรีย์แห่งความรักอันยิ่งใหญ่ของโลก ซึ่งพระเจ้าชาห์เยฮัน แห่งเมืองอัคระประเทศอินเดีย สร้างเป็นสุสานฝังศพของ พระนาง มุมทัชมาฮาล ราชินีอันเป็นที่รักยิ่ง สร้างขึ้นริมฝั่งแม่น้ำยมนา ในปี พ.ศ. 2173 ใช้เวลาก่อสร้างถึง 23 ปีจึงแล้วเสร็จ ทุกส่วนสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวนวลตามแบบสถาปัตยกรรมเปอร์ เซีย โดยฝีมือของสถาปนิก อัสตาด ไอสา ( USTAD ISA ) ใช้เงินก่อสร้างทั้งสิ้นถึง 50,000,000 เหรียญอเมริ กัน ภายในประดับด้วยหินอ่อนสลักฉลุเป็นลวดลายวิจิตรตระการตาแทรกเสริมด้วยทับทิม และนิลตรงกลาง
6. เรือควีนแมรี่

สถานที่ตั้ง เมืองลองบีช ประเทศสหรัฐอเมริกาปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้เรือเดินสมุทร "ควีนแมรี่"ของอังกฤษลำนี้สร้างบนฝั่งแม่น้ำไคลด์ในประเทศสกอตแลนด์ หนักทั้งสิ้น 80,773 ตัน มีความยาว 300 เมตร สูง 54 เมตร เครื่องยนต์ขับเคลื่อนมีกำลังทั้งหมด 200,000 แรงม้า อัตราความเร็วชั่วโมงละ 30 นอต มีหม้อน้ำขนาดใหญ่ต้มน้ำ 400 ตันให้เดือดอยู่ทุกๆชั่วโมง บรรจุคนได้ประมาณ 2,000 คน บนดาดฟ้ามีที่ว่างทำสนามเล่นกีฬาได้ถึง 3 เอเคอร์ ภายในเรือมีร้านขายอาหาร สนามเด็กเล่น สำนักพิมพ์ เครื่องอำนวยความสะดวกครบครันเคยทำสถิติความเร็วโดยได้เดินทางจากเมืองท่าลิเวอร์พูล อังกฤษถึงเมืองท่านิวยอร์ค สหรัฐอเมริกาในเวลา 9 วัน
วิวัฒนาการการท่องเที่ยวของไทย
สมัยสุโขทัย
-การเดินทางเป็นไปอย่างอิสรเสรี โดยส่วนมากเป็นไปเพื่อการค้าขาย และทางศาสนา
-ส่วนมากเป็นการเดินทางภายในประเทศเท่านั้น
-สมัยอยุธยา
-เนื่องจากเป็นอาณาจักรใหญ่ และระบบสังคมเป็นแบบ ศักดินา ผู้คนไม่ค่อยมีอิสระในการเดินทางมากนัก นอกจากไปเพื่อการค้าเล็กๆ น้อย ส่วนด้านการเดินทางเพื่อการพักผ่อน ไม่ค่อยปรากฏ เพราะประชาชนส่วนมามีเวลาว่างไม่มากนัก มักจะอยู่กับบ้านมากกว่า
กลุ่มคนที่มีการเดินทางในสมัยอยุธยา มักจะเป็นกลุ่มคนที่อยู่ในชนชั้นปกครอง ตั้งแต่พระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ และบรรดาขุนนางทั้งหลาย ในบางครั้งอาจจะมีไพร่ทาสติดตามไปเพื่อรับใช้เช่นกัน
ผลจากการเข้ามาของชาวต่างชาติในสมัยอยุธยา
ทำให้เกิดความเป็นนานาชาติในพระนครศรีอยุธยามากขึ้น ทำให้เกิดการผสมผสานวัฒนธรรม ประเพณีต่างๆ ทั้งของตะวันตก และของไทย ที่น่าสนใจคือ มีบันทึกการเดินทางของชาวตะวันตกที่เขียนเอาไว้เกี่ยวกับ ชีวิตความเป็นอยู่ การเดินทาง สถานที่ต่างๆ ในอาณาจักรอยุธยา แล้วนำกลับไปตีพิมพ์เผยแพร่ที่ตะวันตก ก่อให้เกิดการเดินทางเข้ามายังเอเชีย และอยุธยา มากขึ้น ในฐานะที่อยุธยาเป็นดินแดนของสินค้าของป่า เครื่องเทศ ทรัพยากรธรรมชาติ ที่สามารถสร้างกำไรให้มหาศาลแก่พ่อค้าชาวตะวันตก กล่าวได้ว่าอาณาจักรอยุธยา รุ่งเรืองมากทั้งทางด้านศิลปวิทยากร วัฒนธรรม ประเพณี บ้านเมืองร่ำรวย ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
หลังสมัยสมเด็จพระนารายณ์ การค้าขายติดต่อกับชาติตะวันตกลดน้อยลง หันไปค้าขายกับจีนมากขึ้น และพยายามพัฒนาบ้านเมืองให้เป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มีการส่งสมณทูตไปเผยแผ่ศาสนาโดยทั่วไป ที่สำคัญคือ เคยมีการส่งคณะสมณทูตไปยังลังกาทวีป และในลังกาเรียกนิกายสงฆ์ของตนว่า สยามวงศ์อีกด้วย
สมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์
เป็นความพยายามของพระมหากษัตริย์ทั้งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีและปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ที่พยายามจะทำฟื้นฟูความเป็นอยุธยาขึ้นมาใหม่อีกครั้ง จะพบว่า โครงสร้างของบ้านเมือง ตลอดจนวัฒนธรรมประเพณีต่างๆ จะคล้ายกับในสมัยอยุธยา
ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
สมัยรัชกาลที่สอง ทรงทำนุบำรุงทางด้านศิลปวัฒนธรรม และพัฒนาด้านการค้าระหว่างประเทศ
สมัยรัชกาลที่สาม บ้านเมืองเปิดการค้าขายกับต่างชาติ มากขึ้นอีกครั้งหนึ่ง คล้าย ๆ กับสมัยของสมเด็จพระนารายณ์
สมัยรัชกาลที่สี่ ทรงพยายามทำให้บ้านเมืองมีความทันสมัยตามแบบตะวันตก
สมัยรัชกาลที่ห้า ทรงปรับปรุงบ้านเมืองในทุกๆ ด้าน มีการเสด็จประพาสหัวเมืองต่างๆ รวมทั้งต่างประเทศหลายครั้ง ในยุคนี้มีการสร้างทางรถไฟ เรือกลไฟ นับว่าเป็นพื้นฐานสำคัญทางการท่องเที่ยว มีการเลิกทาส เลิกไพร่
สมัยรัชกาลที่หก มีการปรับปรุงสายการเดินรถไฟ มีการสร้างถนนหนทางเพื่อประโยชน์ในทางการสงคราม ตลอดจนการสร้างโรงแรมอีกด้วย
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
สมัยรัชกาลที่เจ็ด เนื่องจากสภาวะบ้านเมืองไม่อยู่ในความสงบและพระองค์ก็มีพระพลานามัยที่ไม่ค่อยแข็งแรงนัก จึงมีการเสด็จประทับตากอากาศบ่อยครั้ง โดยเฉพาะที่หัวหิน ทำให้มีการสร้างทางรถไฟสาย กรุงเทพ-หัวหิน เพื่อส่งเสริมการพักตากอากาศอีกด้วย
สมัยรัชกาลที่แปด-ปัจจุบัน
เนื่องจากเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองมาเป็นประชาธิปไตย เปลี่ยนอำนาจการบริหารประเทศมาอยู่ที่นายกรัฐมนตรี รัฐบาลจอมพล ป. ให้มีการสร้างโรงแรมขึ้นอีก 3 แห่งเพื่อต้อนรับการเข้ามาของนักท่องเที่ยวช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองอีกด้วย